วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

ความกลัว (On fear)


นี่คืองานเขียนเมื่อเดือนมิถุนายน 54..ยังเป็นฉบับร่าง..ดองอยู่ๆๆ..อ้อนไม่โพสต์..เพราะอะไร..อ้อนกลัวอะไร..?????อ้อนลืม...แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว..โพสต์เลยนะ..^^


สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาเยอะแยะ..แถมยังป่วยอีกต่างหาก..มันทำให้จิตเราฟุ้งซ่าน
มากมายอ่ะค่ะ..และที่บอกว่า"อะไรๆเยอะแยะ.." กลับมาคิดอีกที..เยอะของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก..แล้วเราจะอ้างว่าเรา..เยอะ..ได้ยังไง(นั่นสิ!)...เข้าเรื่องเราดีกว่า!

สโลว์ ไลฟ์วันนี้..เราต้องหลีกหนี.." ความกลัว"

ทำไมเราต้องพูดถึงเรื่องความกลัวกัน..เพราะ ความกลัวเป็นสิ่งที่เข้ามาขวางกั้นการเบ่งบานของจิต ความกลัวมาขวางกั้นการเบ่งบานของความดี..คนส่วนใหญ่เรียนรู้ผ่านความกลัว ทำให้เกิดความเชื่อฟัง..
และเมื่อคุณเชื่อฟัง..คุณก็จะหยุดคิด...และเมื่อคุณหยุดคิด..สิ่งใหม่ๆก็จะไม่เกิดขึ้นและไม่เกิดการเรียนรู้

ทำอย่างไร..ให้การเรียนรู้เกิดขึ้น..มันจะเกิดเมื่อคุณไม่รู้เท่านั้น ...จะเกิดเมื่อคุณไม่กลัว เมื่อไม่มีอิทธิพลใดๆมาครอบงำ..ดูเหมือนว่า..สิ่งที่พูดมา..มันแปลกประหลาด..ไม่หรอกค่ะ..คุณควรใช้ใจที่แจ่มใส ไม่อคติ การเรียนรู้ต้องไม่ทำตามรูปแบบ ไม่มีผู้รู้เข้ามามีอิทธิพล และในขณะเดียวกันคุณต้องสั่งสมรวบรวมความรู้ได้ด้วย..แล้วคุณจะเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิต

ข้อความข้างบน..กฤษณมูรติ เขียนไว้..ประมาณนั้น..ค่ะ..อ้อนอาจจะอินและซึมซับสิ่งที่กล่าวมา
แต่คุณจะเข้าใจหรือไม่..ยากจะคาดเดา..ขอเพียงคุณไม่มีความกลัว..ที่จะก้าวไปทำอะไรสักอย่าง ขอเพียงคุณอย่าใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือในการทำร้ายคนอื่น..ขอเพียงคุณหยุดคิดและพิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัว..อย่างชัดเจนไม่เอนเอียง..คุณจะเริ่มเรียนรู้ว่า..ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้คุณทุกข์ใจนอกจากความคิดของคุณเอง..อย่ากลัวค่ะ..^^

จนกว่าจะพบกันอีก...หวังว่า..บทความคงทำให้คุณพบแง่มุมอะไรบางอย่างในชีวิตนะคะ

ลาไปก่อน..ขอบคุณที่สละเวลามีค่าอ่านจนจบค่ะ

25/06/54

อยู่อย่างไร..ให้เย็น...ภาค 1

สวัสดีทุกท่านในวันหยุดสงกรานต์...วันขึ้นปีใหม่ไทย...วันครอบครัว..วันผู้สูงอายุ....และอื่นๆ
แน่นอนว่า..วันสำคัญต่างๆ มีความหมาย...ในความเป็นวันนั้นๆ...และเราต่างให้ความสำคัญมากน้อยก็แล้วแต่...ที่แน่ๆคือเราตื่นเต้นและรู้สึกดีมีความสุขกับวันสำคัญๆ......คงจะดีไม่น้อย..ถ้าเราทำให้วันในแต่ละวันมีความหมายมีความสำคัญ...อย่างน้อยที่สุด..เราก็จะรู้สึกดี...มีพลังในการดำเนินชีวิต..มีพลังในการก้าวต่อไป...มีพลังในการต่อสู้กับทุกๆเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเหมือนความรู้สึกแบบ " วันสำคัญ "

พูดมาเยอะแยะ...ก็แค่..อยากให้อยู่แบบเย็นๆ...ก็เพราะนี่คือ Slow life ...ใช้ชีวิตแบบเพลินๆ..
เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่ารอบตัว..ตึงเครียด...จะคิดเรื่องนี้เสมอ...ดึงทุกอย่างให้..ช้าลง..ปรับใจตัวเองให้เย็นลง...และตอนนี้ต้องขอบคุณหนังสือ " อยู่เย็น เอ็นจอยไลฟ์" เขียนโดยนพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ (มีน้องสาวนวก.สธ. แนะนำให้อ้อนอ่านนะ...ขอบคุณอีกรอบ ^^+)

" มนุษย์ทุกคนถูกออกแบบมาให้เอ็นจอยไลฟ์ได้"  หน้าปก เค้าบอกไว้.....

(เห็นด้วยอย่างยิ่ง...เรทติ้งสเกล..5 ไปเลยค่ะ)

เนื้อหาที่โดนใจ..ตั้งแต่เริ่มอ่านคือเรื่อง"ความกลัว" ซึ่งอ้อนเคยพูดถึงบ่อยๆ..คุณจำได้หรือเปล่า(ล่ะ?)
ที่เคยพูดว่า.." ความกลัวทำให้คนไม่เรียนรู้ " หนังสือเล่มนี้ชวนคุยว่า.." เรากำลังกลัวอะไร?"
ความกลัว นั้นเป็น "ด้านมืดที่ลึกที่สุด" ของมนุษย์ เค้าว่ากันว่า มนุษยืถูกออกแบบให้กลัว เพียง 2 อย่างคือ กลัวความสูง และกลัวเสียงดัง 

........ เช่นนี้เองที่ อ.วิธาน บอกว่า..เราเกิดความกลัวเทียมๆ กันเยอะมาก..มากจนเกินจำเป็น ความกลัวเหล่านี้ แปลงมาเป็นความโกรธ...ความวิตกกังวลและอื่นๆ..

......... ดังนั้น..ง่ายที่สุด..เมื่อเราเกิดอารมณ์ลบๆ..หยุดแล้วถามตัวเองว่า " เรากำลังกลัวอะไร"..
เราคงไม่หลอกตัวเอง..แน่ๆ..ช่วงเวลาที่เราได้ถามตัวเอง..ได้คุยกับต้วเอง (ถ้าทำไม่เป็นย้อนอ่านบล็อกนี้เรื่องงการให้คำปรึกษาตัวเอง นะคะ ^^ )..ต่อๆๆๆ...เป็นช่วงเวลาที่เราได้ทบทวน..สะท้อนคิดและใจเราจะเย็นลง...อย่างประหลาด...มีสมาธิที่ได้มาโดยง่าย...

เริ่มเลยมั๊ยคะ....เป็นกำลังใจให้นะ..(.อ้อนอาจตกงานถ้าไม่มีใครปรึกษา..แต่ยอมๆๆ..เพื่อให้คุณแก้ปัญหาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว...)

ไว้เจอกันใหม่...เมื่อเวลาและโอกาสมาถึง....รักทุกคนเหมือนเช่นเคย


15/4/55   .............

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

รู้กฏหมายไว้..ทำงานสบายใจ...

สวัสดีค่ะ..กลับเข้ามาใน slow life ทุกครั้งที่..ชีวิตเริ่มถูกบีบบังคับด้วย..การรีบเร่ง...

วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่..คนทำงานด้านเอดส์ควรทราบมาฝาก

อ้อนคิดว่า..หากเราชัดเจนในสิ่งที่เราทำ โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน..คุณก็ไม่ต้องกลัวเรื่องการร้องเรียน

พวกเราทุกคนอยู่ภายใต้กฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พศ. 2550...ทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ

......เริ่มที่พื้นฐานก่อนนะคะ..สิ่งที่คนสาธารณสุข ต้องรู้.. 

หมวด 3 สิทธิเสรีภาพ ของชนชาวไทย

มาตรา 26 การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธนรรมนูญนี้

มาตรา 28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้อื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ชัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

มาตรา 51 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน .....
บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐอย่างเหมาะสม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและทันต่อเหตุการณ์ 

......มีหลายมาตรา ค่ะที่น่าสนใจ ซึ่งไม่ได้กล่าว..(ควรหาอ่านเพิ่มเติมนะคะ)..แต่ประเด็นที่จะกล่าวถึงนี้คือเรื่องผลเลือดความลับ..โดยเฉพาะเรื่องการติดเชื้อHIV

คนทำงานด้านนี้หลายท่านกังวลมากในเรื่องการจัดการเกี่ยวกับผลเลือด โดยเฉพาะ ผลเลือด HIV+
ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงผู้ที่จะรับทราบผลเลือดเป็นใครได้บ้าง..และสิ่งที่ดำเนินการให้บริการอยู่ผิดพลาดหรือขัดต่อกฎหมายหรือไม่..ดังนั้นสิ่งที่เราต้องศึกษาไว้..เน้นไปที่


การเปิดเผยความลับของผู้ป่วย/ไม่รักษาความลับ

มีข้อบังคับแพทย์สภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2536 หมวด 3 ข้อ 9 “ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยซึ่งตนทราบมา เนื่องจากการประกอบวิชาชีพ เว้นแต่ด้วยความยินยอมของผู้ป่วยหรือเมื่อต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือหน้าที่” และประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 323 “ ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นโดยเหตุที่เป็นเจ้าพนักงาน ผู้มีหน้าที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ เภสัชกร คนจำหน่ายยา นางผดุงครรภ์ นางพยาบาล นักบวช หมอความ ทนายความ หรือผู้สอบบัญชีหรือโดยเหตุที่เป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับนั้นในประการ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

..ถ้าตีความ..จะเห็นว่าแพทยสภา นั้นได้เน้นว่า.." เว้นแต่ด้วยความยินยอมของผู้ป่วย " การให้คำปรึกษาเพื่อตรวจเลือดจึงมีความหมาย..และรวมไปถึงการได้พูดคุยชี้แจง..สอบถามความสมัครใจการตรวจเลือด การแจ้งผลเลือด กับผู้ใดได้บ้าง (ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการยอมรับในข้อตกลงและเซ็นต์ชื่อไว้)

ซึ่งหากผู้ป่วยเกรงว่าตนจะถูกเปิดเผย ..ก็สามารถกล่าวอ้างมาตรา 323 ที่เขียนไว้ชัดเจนแล้วได้

ดังนั้นการให้การปรึกษาที่มีประสิทธิภาพจะสร้างความเข้าใจแก่ผู้ป่วย และลดความหวาดระแวงทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ

ขอเพียง..เรามีความรู้..เราก็อยู่ด้วยกันได้...มาเรียนรู้ด้วยกันต่อไปนะคะ..

ลาไปก่อน...จนกว่าจะพบกัน..~


drAonarin  6/4/12