สวัสดีค่ะ..กลับเข้ามาใน slow life ทุกครั้งที่..ชีวิตเริ่มถูกบีบบังคับด้วย..การรีบเร่ง...
วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่..คนทำงานด้านเอดส์ควรทราบมาฝาก
อ้อนคิดว่า..หากเราชัดเจนในสิ่งที่เราทำ โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน..คุณก็ไม่ต้องกลัวเรื่องการร้องเรียน
พวกเราทุกคนอยู่ภายใต้กฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พศ. 2550...ทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ
......เริ่มที่พื้นฐานก่อนนะคะ..สิ่งที่คนสาธารณสุข
ต้องรู้..
หมวด 3 สิทธิเสรีภาพ ของชนชาวไทย
มาตรา 26 การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธนรรมนูญนี้
มาตรา 28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้อื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ชัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
มาตรา 51 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน .....
บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐอย่างเหมาะสม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและทันต่อเหตุการณ์
......มีหลายมาตรา ค่ะที่น่าสนใจ ซึ่งไม่ได้กล่าว..(ควรหาอ่านเพิ่มเติมนะคะ)..แต่ประเด็นที่จะกล่าวถึงนี้คือเรื่องผลเลือดความลับ..โดยเฉพาะเรื่องการติดเชื้อHIV
คนทำงานด้านนี้หลายท่านกังวลมากในเรื่องการจัดการเกี่ยวกับผลเลือด โดยเฉพาะ ผลเลือด HIV+
ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงผู้ที่จะรับทราบผลเลือดเป็นใครได้บ้าง..และสิ่งที่ดำเนินการให้บริการอยู่ผิดพลาดหรือขัดต่อกฎหมายหรือไม่..ดังนั้นสิ่งที่เราต้องศึกษาไว้..เน้นไปที่
การเปิดเผยความลับของผู้ป่วย/ไม่รักษาความลับ
มีข้อบังคับแพทย์สภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2536 หมวด 3 ข้อ 9 “ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยซึ่งตนทราบมา เนื่องจากการประกอบวิชาชีพ เว้นแต่ด้วยความยินยอมของผู้ป่วยหรือเมื่อต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือหน้าที่” และประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 323 “ ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่นโดยเหตุที่เป็นเจ้าพนักงาน ผู้มีหน้าที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ เภสัชกร คนจำหน่ายยา นางผดุงครรภ์ นางพยาบาล นักบวช หมอความ ทนายความ หรือผู้สอบบัญชีหรือโดยเหตุที่เป็นผู้ช่วยในการประกอบอาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับนั้นในประการ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
..ถ้าตีความ..จะเห็นว่าแพทยสภา นั้นได้เน้นว่า.." เว้นแต่ด้วยความยินยอมของผู้ป่วย " การให้คำปรึกษาเพื่อตรวจเลือดจึงมีความหมาย..และรวมไปถึงการได้พูดคุยชี้แจง..สอบถามความสมัครใจการตรวจเลือด การแจ้งผลเลือด กับผู้ใดได้บ้าง (ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการยอมรับในข้อตกลงและเซ็นต์ชื่อไว้)
ซึ่งหากผู้ป่วยเกรงว่าตนจะถูกเปิดเผย ..ก็สามารถกล่าวอ้างมาตรา 323 ที่เขียนไว้ชัดเจนแล้วได้
ดังนั้นการให้การปรึกษาที่มีประสิทธิภาพจะสร้างความเข้าใจแก่ผู้ป่วย และลดความหวาดระแวงทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ
ขอเพียง..เรามีความรู้..เราก็อยู่ด้วยกันได้...มาเรียนรู้ด้วยกันต่อไปนะคะ..
ลาไปก่อน...จนกว่าจะพบกัน..~
drAonarin 6/4/12