วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

everything is nothing, nothing is true, everything is permitted"

everything is nothing,  / "nothing is true, everything is permitted" 

everything is nothing,  / "nothing is true, everything is permitted"

everything is nothing,  / "nothing is true, everything is permitted"


everything is nothing~   แน่หละ..ไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน..มีเกิดขึ้น..ดำรงอยู่..แล้วก็ดับไป..

โอเคว่า...เราคงไม่ยึดติดกับอะไร..อย่าไปคาดหวัง..อย่าไปจริงจัง..กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง..คนแนวสโลว์ไลฟ์...เข้าใจดีใช่มั๊ยคะ..((พยักหน้า..ยิ้มรับเบาๆ..ขอบคุณนะคะ ^^)) เชื่อค่ะว่า..การมองโลกอย่างเข้าใจทำให้เรา..ไม่ทำร้ายใคร..และที่สำคัญไม่ทำร้ายตัวเอง..

"nothing is true, everything is permitted"  ~ ไม่มีอะไรจริงแท้..ทุกสิ่งเป็นแค่การยอมรับ~

ใช่เลย..ขอบคุณแรงบันดาลใจจาก superoakman.exteen.com และ.biscuitw.blogspot.com ค่ะ^^
(เค้าบอกว่ามันเป็นคำพูดในเกมส์Assasin's Creed ค่ะ เหมือนเป็นนักฆ่าในองค์กรที่มีอุดมการณ์ยุติเรื่องร้ายๆประมาณนี้...เล่นไม่เป็นค่ะ )

โฟกัสที่คำพูดละกัน..(ไม่ใช่เรื่องเกมส์.). nothing is true, everything is permitted"  เรื่องบางเรื่องมันเป็นจริงตามนั้นๆหรือไม่...เรายังไม่รู้เลย...แต่พอมีคนมายืนยัน..มาพิสูจน์(ตามแบบของเค้า).เราก็เชื่อว่ามันเป็นจริง..มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง... ที่จริงแล้ว..มันเป็นเพียง..การยอมรับ..หรือเปล่า???..

ถามใคร?

ถามใจตัวเองดูค่ะ ..(. .) (" " )^ <--- (งง..ไม่เป็นไร..ใจเย็นๆก็ได้)


บางเรื่องใจเราไม่ยอมรับเราก็บอกว่าไม่ถูกต้อง..บางเรื่องใจเรายอมรับประกาศก้อง..นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด

เอาหละ..สิ่งที่เป็นของขวัญปีใหม่ปีนี้ของ..อ้อนคือ..."การสำรวจความคิดจิตใจ...ให้กระจ่าง" เสียที
มีเวลาก็จริง...แต่ไม่อยากให้มันเสียไป...และไม่อยากใช้มันทั้งชีวิต!


จนกว่า..จะมีอารมณ์เขียนอีก..

แล้วเจอกันค่ะ ^^

18/12/54

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คิดแบบ..Chocolate..

สวัสดีค่ะ..ขอโทษค่ะหายไปซะนาน..เฝ้าน้ำท่วมบ้าง..ไม่สบายบ้าง..กำลังใจหดหายบ้าง..ไม่ได้เวลามาอัพบล็อกซะที..แต่วันนี้ทุกอย่างโอเคอ่ะค่ะ.^^.
ขึ้นต้นว่า..คิดแบบ ช็อกโกแลต..ก็แน่หละว่า..มันต้องมีอะไรพิเศษๆอ่ะนะ..(หนังสือเล่มนี้นานแล้วหละค่ะ..)ใครเคยอ่านก็ขอโทษนะค๊า..(อ้อนอยากเขียนเรี่องนี้..นี่นา)

อ้อนเห็นด้วยกับ..ปกหลังที่เขียนว่า "ความเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์ใดๆ ย่อมเกิดก่อขึ้นภายในก่อนจะเผยตัวออกสู่ภายนอกเสมอ"

ดังนั้น กฎข้อที่ 1 ของการกินช็อกโกแลต คือ ค้นให้พบแก่นกลางของความหวาน หากเราต้องการชีวิตที่มีความสุข เราต้องรู้ให้แน่ชัดว่ามีอะไรอยู่ภายในจิตใจตนเองบ้าง..ไม่เช่นนั้นแล้ว..เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นกับชีวิตได้อย่างไร....

ว่าแต่เราจะกล้าพอที่จะค้นหาตนเองหรือเปล่า????

//ในเล่มพูดถึง..ว่าคุณชอบช็อกโกแลตแบบไหน..ทำนายบุคลิกให้ด้วย..แต่อ้อนไม่เขียนในนี้..อยากรู้ถามมาละกัน..นี่ๆๆๆมีอุบด้วย..^^

เอาหละ..ถ้าเราพร้อมจะค้นหาตัวเอง..ก็จงใช้เวลาในการพิจารณาตัวเองให้ดี..
คุณรู้สึกดีกับตัวเอง..ตอนไหน..และในแบบไหน..?
มั่นใจว่าเป็นมนุษย์ที่ดี..คนนึงใช่มั๊ย..?
คุณมักจะได้รับความรัก..จากคนบนโลกใบนี้..?

ความจริงแล้ว..ถ้าเราตอบทั้ง 3 ข้อนี้อย่างจริงใจนะ..เราก็รู้หละค่ะว่าจุดไหนที่เราโอเค..^^

เฉกเช่นการกินช๊อกโกแลต..เลือกชนิดที่คุณชอบมากที่สุดก่อน..หยิบใส่ปากและทิ้งไว้สักครู่เพื่อชื่นชมกับรสและกลิ่นหอมที่ส่งออกมา.จากนั้นก็ค่อยๆเคี้ยวช้าๆเพื่อรับรู่ถึงรสชาดแก่นกลางของมัน..

เราอาจต้องค่อยๆพิจารณาตัวเอง..ให้รู้ถึงเบื้องลึกที่สุดในใจ..ว่าเราต้องการอะไรกันแน่..และแน่นอนมันต้องใช้เวลา..ช้าๆ...(เข้าหลัก Slow life มั๊ย ^^)

งั้นเรามาเริ่มกฎข้อที่ 1 กันเลยนะคะ..อวยพรให้คุณค้นพบ...ความเป็นตัวคุณ...

อ่ะ..กินช็อกโกแลตกันเลยคร่า.....คิดถึงทุกคน..เช่นเดิม...จนกว่าจะพบกันอีกนะ..บ๊ายบาย..//

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หากไม่มีจิตใจที่ "คิดเผื่อผู้อื่น" ไม่ถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง

สวัสดีค่ะ..การเขียนงานบางทีก็ต้องใช้.."ใจ" ประมาณนึงเหมือนกัน..ช่วงที่เรายุ่งจนไม่เป็นตัวเอง..ไม่มีเวลาของตัวเอง..มันอาจบั่นทอนให้คุณรู้สึกเบื่อ..หรือไม่อยากทำอะไร..อ้อนชอบเรียกว่า " นั่งหายใจเล่น" ไม่ต้องทำอะไรเลย..และไม่ต้องคิดอะไรเลย..แต่ความเป็นจริงเราคงหาโอกาสที่จะทำอะไรแบบนั้นได้น้อยมาก..ซึ่งการเขียนในวันนี้..ก็พยายามอย่างที่สุดหละค่ะ..ไม่ให้เป็นแค่การระบาย..อารมณ์..
ประโยชน์..ของการได้อ่านเรื่องนี้อาจเกิดกับใคร..อ้อนก็ไม่รู้ได้..คุณอาจจะแค่มองผ่านๆไป..แต่หวังไว้ว่าถ้า..โอกาสที่คุณจำเป็นต้องใช้..สิ่งที่ผ่านตาไปนี้อาจช่วยอะไรได้บ้าง..

การคิดถึงผู้อื่น..คุณคิดถึงเรื่องนี้อย่างไร? บางคนบอกว่า..ตัวเราต้องมาก่อนตามธรรมชาติ..ไม่เถียงเลยค่ะ..แต่เมื่อไหร่ที่คุณต้องการ "ชนะใจ" อย่างแท้จริงคุณควรคิดเผื่อผู้อื่นไว้บ้าง

ซาโต้ อิสไซ นักปรัชญาเก่าแก่สมัยเอโดะ (เค้านับถือขงจื้อนะคะ.).กล่าวไว้ว่า "จงปฎิบัติต่อผู้อื่นเหมือนสายลมที่พัดให้ความสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิ แต่เข้มงวดกับตัวเองเหมือนเกล็ดน้ำค้างอันเยือกเย็นในฤดูใบไม้ร่วง"

และหากเป็นเช่นนั้นนั้น.คุณก็จะชนะใจคนทั้งโลก..

อีกคำกล่าวหนึ่งที่น่าสนใจ... เพื่อนแท้เปรียบเสมือน"ทรัพย์" อันมีค่าจงรักษาไว้กับตัวตลอดไป ...ใช่แล้วค่ะ..บนถนนชีวิตที่ยาวไกลเพื่อนแท้ที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราเปรียบเสมือนทรัพย์ที่มีค่ามาก..คุณเคยรุ้สึกมั๊ยคะ..ว่าเพื่อนบางคนแม้ไม่ได้พบกัน แต่เค้าเป็นคนที่ทำให้คุณสบายใจ ในยามที่คุณลำบาก..และคนแบบนี้อาจหาได้น้อยมาก..และถ้าคุณอยากมีเพื่อนแท้คุณก็ต้องกลับไปดูคำกล่าวของ ซาโต้อีกรอบ..
เพราะนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสัมพันธภาพที่ดีมากๆ เป็นพื้นฐานที่เรา..จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

สุดท้ายแล้ว..ก่อนลาไป..มีข้อคิดดีๆ ฝากไว้ค่ะ..
แม้ว่าคุณจะสนิทกับเพื่อนของคุณแค่ไหน..เค้าเป็นเพื่อนแท้ของคุณหรือไม่..แต่เมื่อใดที่เค้าทุกข์..คุณห้ามพูดถึงความสุขหรือความสำเร็จของตัวเองให้เค้าฟังเด็ดขาด...

ลาไปก่อนค่ะ...(เขียนใน)ค่ำคืน..ที่อยากนั่งหายใจเล่น...((ขอบคุณที่อ่านนะคะ))

7/10/54

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

นอนหลับ..การพักผ่อนที่ดีที่ไม่ควรมองข้าม

สวัสดีค่ะ..คุณเคยพบปัญหาการนอนไม่หลับมั๊ยคะ..เป็นเรื่องไม่สนุกนักหากเราต้องการพักผ่อนแต่..สมองไม่สั่งการให้รู้สึกง่วง..ลองวิธีง่ายๆดู..เผื่อทำให้คุณหลับและตื่นอย่างสดชื่น..
คนที่จะสอบ หรือ อยากสุขภาพดี..หน้าใสกิ๊กก็ลองดูตามที่..อ้อนประมวลมานี้..อ่ะ..เริ่มเลย

1. ควรเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลา ทั้งวันทำงานปกติ และวันหยุด เพื่อให้นาฬิกาชีวิต (Biological clock) ทำงานอยู่ตลอดเวลา

2. รับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้า อย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นการควบคุมนาฬิกาชีวิตที่สำคัญ และการที่ตาได้รับแสงแดดธรรมชาติที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน จะช่วยกระตุ้นจังหวะการหลับ การตื่น (Sleep cycle) ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน หรือสารที่ออกฤทธิ์คล้ายคาเฟอีน ที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เช่น โกโก้ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม หรือยาแก้ปวดบางชนิด หลังอาหารมื้อเที่ยง


4.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ ก่อนการนอนหลับ 3 ชั่วโมง

5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักก่อนนอนหลับอย่างน้อย 2 ชั่วโมง กินอาหารเล็กน้อยได้..เค้าว่ากันว่ากล้วยหอมมีทริปโตเฟน ทำใหเหลับได้ ควรทานตอนเย็นนะ ก่อนนอนอาจออกฤทธิ์ไม่ทัน..ยางตำราบอกว่านมอุ่นๆช่วยให้หลับ..แต่บางตำราบอกว่านมช่วยให้Alert ต่างหาก ควรดื่มนมตอนเช้าดีกว่า

6.อย่านอนกลางวัน

7.เตรียมตัวให้ผ่อนคลาย..เช่นบรรยากาศ เพลง..อากาศเย็นสบาย อย่าทำงานที่ต้องใช้สมาธิ อย่าคุยโทรศัพทืโต้เถียง..อย่าดูหนัง Action หรือสยองขวัญ

8. จำไว้ว่าเตียงนอนใช้สำหรับนอนเท่านั้น..ไม่ควรไว้ทำอย่างอื่น?? ...เอ่อ..อ้อนหมายถึงไม่ควรใช้อ่านหนังสือ...ทำงานไรงี้นะคะ...^^

9.ถ้าใน 10 นาทีแล้วยังไม่หลับ..ให้ลุกมาทำอย่างอื่นค่ะ..อ่านหนังสือก็ได้นะ

10.ข้อนี้สำคัญสุดเลย..ต้องรู้จักควบคุมความเครียด..ยิ่งคิดเครียดๆ..ก็ยิ่งนอนไม่หลับ..บางทีการสวดมนต์อาจช่วยเรื่องนี้ได้นะคะ..(หมายถึงทุกศาสนานะคะ)

ลองดูตามนี้..เชื่อว่า..คุณจะนอนหลับได้ดี...ฝันดีเลยหละค่ะ..ตื่นมาก็สมองสดชื่น..จำแม่นด้วย..
ปล. น้องๆที่สอบอยู่อย่าลืมนำไปใช้..อ่านหนังสือดึกๆใช้ได้เฉพาะบางคนนะคะ..คนดี..
บางคนตื่นมาทบทวนตอนเช้าสดชื่นกว่า..แต่ที่สำคัญก่อนไปสอบทานอาหรเช้าด้วยจะทำให้ความจำกลับมาค่ะ.....รักทุกคนะคะ..แล้วเจอกัน..บายๆๆๆ


 



 

 


วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อัพเดตความคิด..แบบญี่ป่น..กับหนังสือ " กลับหัวคิด มองโลก 80% " ของหมอไซโต้ ชิเงตะ

สวัสดีค่ะ..เดือนนี้มีหนังสือใหม่(สำหรับคนยังไม่เคยอ่าน^^) มานำเสนอค่ะ..อยากอัพบล๊อกตั้งหลายวันแล้วหละ..แต่ติดนั่นติดนี่..ที่สำคัญติดที่ความคิดตัวเองน่ะแหละค่ะ..ข้อเสียของอ้อนคือ..เวลาที่คับข้องใจก็จะเบลอๆ..เขียนงานไม่ออก..และก็ไม่ได้เป็นพวก " ซึน" ด้วยอ่ะคะ..(( ปอ.ลอ.."ซึน" คืออะไร..คุณคงรู้กันดี..เอ้า..ไม่รู้ๆเหรอ..หลังไมค์นะ..หลังไมค์ (~_*)... ))
นี่เธอ////เข้าเรื่องๆซะที..(ใครตะโกนมา..ได้ยินนะ!!!) เรื่องมีอยู่ว่า..ข้อมูลทางจิตวิทยาส่วนใหญ่ที่อ้อนมักเอามาพูดคุยอ่ะมักจะมาจากฝั่งอเมริกา ไม่ก็ยุโรป (แหม..ไฮ...เนอะ^^) มาครานี้เอาอิทธิพลจากฝั่งญี่ปุ่นบ้างเนื่องจากตรงใจดิฉันสุดๆ ในช่วงนี้ค่ะ..อืมม์..มันอาจจะตรงใจพวกคุณบ้างก็ได้(มั้งคะ)..

ว่าแต่..มันสไลว์..ไลฟ์...ตรงไหน...?????..ก็แล้วแต่จะคิด..ไง..วันนี้เน้นเรื่องการคิดแบบค้างค้าวเลย..เอ้า..ทุกคน..เตรียมตัว.ทำท่าหกสูง..ณ บัดนี้...

หลักการที่ 1 เริ่มจากการสำรวจตัวเองใหม่ทั้งหมด ..การที่เราต้องเผชิญกับวิกฤติหรือตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก สาเหตุไม่ใช่เพราะใครอื่น..แต่มาจากตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่..((และเราก็มัวแต่คิดโทษคนอื่น))มาลองตรวจสภาพตัวเองกันค่ะ..คนเรามักมองตัวเองว่าดี สมบูรณ์แบบเสมอ (สังเกตสิคะ..เรามักจะหาข้อดีเข้าข้างตัวเอง..ฝรั่งก็ชอบให้คิดแบบนี้นะ)..และความสามารถในการสังเกตหรือวิเคราะห์จุดด้อยของคนอื่นๆนั้นไม่มีใครเป็นรองใคร..จริงๆ..แต่การคิดกลับหัวของเราก็คือ..เรารู้จักจุดอ่อนของตัวเองหรือเปล่า?
ลองทำใจสงบๆ ..และไตร่ตรองหาสาเหตุดูนะ..ถ้าเจอ..เราต้องยอมรับก่อน(ปอ.ลอ..อย่างจริงใจด้วยนะคะ)เหมือนประมาณว่า..รู้จักนิสัยของตัวเองอ่ะค่ะ...อาจจะสรุปออกมาเสียหน่อย เช่น...ไม่ชอบแสดงออก/ ขี้กังวล / โอนอ่อนผ่อนตาม / ชอบทำตัวโดดเด่น / ยึดมั่นความคิดตัวเอง เมื่อรู้แล้ว..ยอมรับและปรับเปลี่ยน..ในจุดที่สร้างปัญหา..

หลักการที่2 จงพอใจในสิ่งที่ได้มา บางทีต้องรู้จักคำว่า "แค่นี้ก็ดีเกินคาดแล้ว" คุณไม่สามารถสมบูรณ์แบบ 100 % ได้หรอก รู้จักใช้ชีวิตแบบ 80% บ้าง..ให้ออม 20% ที่เหลือไว้ทำอย่างอื่น (ตย.ที่หนังสือเค้ายกมาชอบมากเค้าบอกว่า..โบราณเคยเปรียบเทียบเรื่องนี้เหมือนการรินเหล้าสาเกใส่ถ้วยทรงสี่เหลี่ยมแบบสมัยก่อน หากรินเต็มถ้วยก็จะถือไปมาไม่สะดวก แต่ถ้าริน 80% จะถือโดยไม่ระมัดระวังไปบ้าง.แต่ก็ไม่ต้องกลัวหก!! การมุ่งหวังสิ่งที่สมบูรณ์แบบ 100% เป็นความคิดที่ไม่ยืดหยุ่นเอาซะเลย...สู้เก็บอีก20%ไว้วิเคราะห์สถานการณ์รอบข้างบ้าง..จะดีกว่า..

หลักการที่3 ปลดปล่อยตัวเองออกจากคำสาปของการคิดไปเอง...ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า " คิดไปเอง"
อยู่ด้วย..หนังสือยกตย.ว่า..เวลาที่'ทานอะไร..ที่ไหน..หน้าตาอาหารจะเป็นยังไง..คำแรกถ้าพูดว่า
"อร่อยจ้ง" มันก็จะมีมนต์สะกดให้เราคิดไปได้..ว่า..อืมม์..อร่อย..เนอะ...ในทางตรงกันข้าม..ถ้ามนต์สะกดว่า..ไม่เห็นดี..ไม่เห็นอร่อย..(+ ใบหน้าที่คุณคงเดาได้) คุณก็คงเป็นแบบนั้น..และบรรยากาศในตอนนั้นก็จะแย่มาก..เคยเจอมั๊ยล่ะคะ..มนต์สะกดพวกนี้มันเหมือนมายาอะไรบางอย่าง..ที่เราต้องเสกอ่ะค่ะ(( ลายเซ็นAon มีคทาดาวต่อท้ายด้วยนะขอบอก))..งั้นคุณจงเสกตัวเอง ณบัดนี้...เสกอะไร..เล่าให้ฟังบ้างนะ^^

หลักการที่ 4 อย่ากดดันตัวเองเกินไป..(โดนดิฉันสุดๆอ่ะ) ไม่ว่าจะทำอะไรจัดลำดับความสำคัญซะก่อน
หมอไซโต้เป็นคนขี้เกรงใจ..ใครให้ทำอะไรก็รับหมด..รู้สึกว่าเค้ามาขอความช่วยเหลือ..((ทำไมเหมือนเราเรยยยย ไม่ใช่สิ..เราเหมือนเค้าต่างหาก)) มีวิธีแก้ ดังนี้ แบ่งงานเป็น 3 ประเภท

1.งานที่มีกำหนดเวลา วันเดือน ปีตายตัว ลงบันทึกไว้ให้ชัดเจน..อันนี้ยังไงก็ต้องทำ/ต้องไป
2.งานที่เกี่ยวข้องกับอาชีพหลักของเรา
3.งานที่เป็นอาชีพเสริม (งานเขียน ส่งตันฉบับ.หรืออะไรก็แล้วแต่..)

จะเห็นว่า 3 ข้อนี้ต้องมีกำหนดเวลา และต้องทำ.คุณงอแงไม่ได้..ทุกข้อมีผู้อื่นเกี่ยวข้อง..ยกเว้นแต่อาชีพเสริมของคุณ..ที่เป็นนายตัวเอง..ทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครว่า...^^

แล้ว..งานจุกจิกนอกเหนือจากนี้ล่ะ..ทำไง..?? ไม่ต้องกังวลลองดูดีๆเรามีเวลาเหลือตอนไหนบ้าง..
เค้าใช้คำว่าทำงานที่สามารถเสร็จได้ในช่วงเวลา ที่.."โอกาสเอื้ออำนวย" เช่นตอนที่รอเดินทาง..หรือรออะไรบางอย่างที่เราอาจต้องใช้เวลา ถ้าเป็นอ้อน..ก็นึกถึงการรอเคสนัด..รอคิวธนาคาร..ฯลฯ..ตอบmail ได้สบายๆค่ะ..มันใช้เวลาแป๊บเดียว..บางทีก็คิดบทความได้ หรืออย่าน้อยก็อ่านหนังสือได้สักบท2บทค่ะ..ข้อสำคัญต้องมีสมาธิหน่อย..เท่านั้น

วันนี้พอแค่นี้ก่อน...โอกาสเอื้ออำนวย..ของอ้อนหมดแล้วอ่ะคะ...ต้องไปทำงานอาชีพหลักแล้วหละ..

ขอบคุณที่สละเวลาอ่านนะค๊า..^^ ถ้าจัดตัวหนังสือ..ลายตา..ขออภัย..เวลาน้อย..(คิดแค่80% พอน๊า)

แล้วพบกันค่ะ..จนกว่า จะมีโอกาสเอื้ออำนวย..

บ๊ายบาย~~31 /07/54



วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผ่อนคลาย..แบบ slow life

มีหลายคนถามว่า ..คุณจัดการตัวเอง..ยังไง? คุณเบื่อตารางชีวิตมั๊ย?  หรือคุณทำอย่างไรไม่ให้ทุกข์..ไม่ให้เครียด? ในความเป็นจริง..ไม่มีใครที่จะไม่มีปัญหา..และ.ไม่มีใครที่จะไม่มีความเครียดในชีวิตอยู่เลย..
.....ตราบเท่าที่เรายังคงหายใจ..และมีชีวิตอย่างปกติ..
และไม่ว่าจะทุกข์มากหรือน้อย..เครียดนิดหน่อยหรือเครียดสูงๆ เราสามารถรับมือได้..ด้วยตัวเราเอง
....อ่านเจอในหนังสือ..365 วิธีรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นทุกๆวัน..ข้อที่ 321 บอกว่า...
                                
                                                       " ให้สมองซีกซ้าย..ได้พักผ่อนอยู่เสมอ "

น่าจะดีนะถ้าทำได้...ลองดูค่ะ

จงฝึกฝนให้ตัวเองหยุดพักการใช้งานสมอง ซีกซ้าย (ซึ่งควบคุมการใช้เหตุผล ภาษาและการสื่อสาร ความสามารถในการเรียนรู้ ทักษะทางคณิตศาสตร์ การจัดการระเบียบ ตรรกะ) และปล่อยให้สมองด้านอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มารับช่วงต่อไป คุณสามารถทำได้ด้วยการทำสมาธิ ฟังดนตรีที่นุ่มนวล
ฟังเสียงธรรมชาติที่ดังเป็นจังหวะ (อย่างเช่น เสียงน้ำไหล) การขีดเส้นขยุกขยิก หรือการลงแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ..พร้อมกับใช้ น้ำมันอโรมา...ภายใต้แสงเทียน ( me//อันหลังนี่..ออกจะเยอะไปหน่อย)

อ้อนไม่รู้หรอกว่า..พวกคุณมีปัญหาอะไร(และก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ)เพียงแค่วันใดที่คุณไม่สบายใจ..

คุณก็ลองให้สมองซีกขวาเค้าทำงานบ้าง..ก็เท่านั้น

และที่เขียนมาก็ตอบคำถาม..ว่าอยู่ยังไงไม่ให้ทุกข์แล้วหละ..

(((เคล็บลับส่วนตัว..อย่าทุกข์กับอะไรนาน..เสียเวลา ^^)))



วันนี้ลาไปก่อนละกัน..ไว้จะมาอัพเดตใหม่..หวังว่าคุณจะมีความสุขเสมอ..คำอวยพรไม่เคยทำให้ใครทุกข์ใจ..และอ้อนก็ชอบอวยพร..คนอื่นทุกวัน ^^

..ไปหละ..จนกว่าจะพบกันอีก

  23/07/54

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Let's smile ^^


            การเปลี่ยนแปลง..สู่การมีชีวิต "แบบเพลินๆ"

 " หัวใจสำคัญของการลดความเร็วลง คือจิตใจของเรานั่นเอง"
การลดความเร็วจะเกิดขึ้นอย่างถาวรและเห็นผล ขึ้นอยู่กับทัศนคติและวิธีคิด คุณจะมีสุขภาพดีขึ้น รู้สึกสงบ มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น หากคุณคิดให้ช้าลง

 Guy Claxfon นักจิตวิทยา บอกว่าสมองมีการคิด 2 ลักษณะ
 1. คิดอย่างเร็ว เป็นการคิดเรื่องเหตุผล การคิดวิเคราะห์ คิดเชิงตรรกะ เป็นความคิดที่ท่ามกลางความกดดัน เพื่อแก้ปัญหาแบบตรงไปตรงมา
 2. คิดอย่างช้า เป็นการคิดแบบสร้างสรรค์ เกิดได้จากสัญชาตญาณที่ไร้สภาวะการกดดันและจะเกิดได้เฉพาะช่วงที่ผ่อนคลายเท่านั้น การคิดแนวนี้มีประโยชน์มาก
         " แทนที่จะพูดอะไร ให้เรานั่งเฉยๆก่อน ความคิดดีๆจึงบังเกิด"
                                                                                   เซน

ส่วนตัวแล้ว..ไม่ว่าจะเริ่มคิดแบบไหน..อ้อนชอบที่จะยิ้มออกมาก่อน

มันช่วยได้มาก ถ้าความคิดนั้นมันบล๊อก.หรือก่อนจะพูดอะไร..ก็ต้องยิ้มให้กำลังใจตัวเองก่อน (แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะยิ้มไม่ได้..ขอในใจก็ยังดีค่ะ) ...หรือแม้แต่เวลาเศร้าที่สุด ..ก็ต้องลอง"หัดยิ้มให้กับความรู้สึกตัวเอง" ดู..มันมีกำลังใจเล็กๆจากภายในตัวเราเอง..เคลื่อนไหว..แบบช้าๆ เบาๆ ลองดูนะคะ..

หวังว่า..มันคงดูไม่เพ้อเจ้อ..แต่หากมันจะเพ้อเจ้อ..ก็ขอให้เป็นเพ้อเจ้อแบบเพลินๆ ละกัน

จนกว่าจะพบกัน ....


25/06/54

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทักษะการคิดสำหรับศตวรรษที่ 21

สวัสดีค่ะ..หลายวันก่อน ไปซื้อหนังสือ เจอเล่มหนึ่งที่น่าสนใจ อยากเอามาแบ่งปันน่ะค่ะ
เรื่อง ค้นพบคนใหม่ในตัวคุณ (Reinvention) อาจเป็นเพราะมีชื่อนักเขียนคนโปรด
" ไบรอัน เทรซี่ " อยู่หน้าปก ซื้ออย่างไม่ลังเลค่ะ(อ้อๆๆ บางคนอาจไม่รู้ว่าไบรอันเคยเขียน Eat that frog / กินกบตัวนั้นซะ.: เรื่องเกี่ยวกับการบริหารเวลา และการไม่ผลัดวันประกันพรุ่งน่ะค่ะ)

สำหรับเล่มนี้..น่าสนใจดีนะตรงที่ เค้าพุ่งตรงมาที่เรา..ให้เรามองตัวเอง เปลี่ยนแปลง..แล้วก็รอพบกับคุณ
คนใหม่..((อย่าเพิ่งแอบคิดว่า..อะไรกันเนี่ย..Slow life นะจ๊ะ อย่ามาๆ...เร่งรีบ เราช้าๆก็ได้)) โอเคว่า..ไม่ว่า
คุณจะเดินอย่างช้าๆ หรือก้าวอย่างเร็วๆ แต่กระบวนการคิดน่าจะเกิดขึ้นตลอดเวลาที่มีลมหายใจเข้าออกนะ..ถ้าเป็นเช่นนั้น..มาลองดูทักษะที่ไบรอัน เค้าบอกดีกว่าเผื่อจะข่วยพัฒนา
ตัวเองเพิ่ม..หลักนี้เรียกว่าหลัก 7 R มาทำความรู้จักกัน

1. Reevaluation ( ประเมินใหม่) ดูกัน..ว่าปัญหาที่แท้จริงของเราคืออะไร
2.Rethinking ( คิดใหม่) ..ใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง!
3.Reorganiztion ( ปรับระเบียบ)...เตรียมพร้อมไว้เสมอค่ะ..คุณอาจต้องปรับตัวอะไรบางอย่าง
4.Restructuring (ปรับโครงสร้าง)..เราไม่มีเวลาหรือเงินมากพอสำหรับทุกๆอย่าง อย่างที่อยากให้เป็น คุณ  จึงต้องประหยัด!..ปรับโครงสร้างชีวิตตั้งแต่วันนี้
5.Reengineerirng (ปรับปรุง)....ทำให้ง่ายๆ มองหาวิธีลดความซับซ้อนหรือลดขั้นตอนการทำงานต่างๆ
6.Reinventing (เปลี่ยนแปลง)... เปลี่ยนแปลงตนเองและเลิกคิดถึงอดีต
7.Regaining Control (ควบคุมตนเอง)...คนเราทุกคนมีอำนาจในการควบคุมตัวเอง..ทุกๆเรื่องเชื่อมั่นตัวเองนะคะ

ทั้งหมดนี้..มันควรจะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีสติอยู่กับตัว..และสามารถใช้มันได้อย่างทันท่วงที


(((เห็นมั๊ย..มันก็..slow life เหมือนกันแหละ ^^)))


แล้วพบกันนะคะ..ในเล่มยังมีอะไรอีกเยอะ..อัพเดตแค่นี้ก่อนนะ..


คิดถึง..เช่นเดิม..ค่ะ


15/06/54



(ปล...ทิวลิป..มาทำไม..ไม่รู้ค่ะ..รู้แต่ว่า..สวยดีแม้การถ่ายภาพจะแย่มาก !!! สิ่งที่เราเชื่อว่าดี..จงชื่นชมมัน
เถอะค่ะ...ไม่เสียหายหรอก..))

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Life Goes On..

วันนี้ดิฉัน..ลองค้นตู้หนังสือ..เจอเล่มหนึ่งที่รู้สึกดี..มีกลิ่นไอ..ของมิตรภาพเมื่อหยิบขึ้นมา..

ระลึกได้ว่า..เพื่อนที่น่ารักให้มา(เนื่องในวันที่)..เขาบอกว่า"อยากแบ่งปันความรู้สึกดีๆ"

โน๊ตเล็กๆยังแทรกอยู่ในเล่ม...พร้อมเดือนและพศ.ที่บ่งบอก..ธ.ค.2547..^^ (7 ปีแล้ว...นะ)

คงอยากรู้แล้วใช่มั๊ยว่าเรื่องอะไร..ชื่อว่า "365 วันฝันที่ไกลกว่าเดิม Life goes on " ต้นกล้า นัยนา ผู้เขียน

หน้าปกเขียนว่า

"  ใต้ฟ้าสีฟ้านี้ ..ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ นอกจากเราไม่ทำ ไม่ตั้งใจทำ และไม่ทุ่มเทหัวใจทำ"

ในเล่มทำเหมือนเขียน ไดอารี่..เป็นวันๆค่ะ ข้อความดีๆสำหรับวันนี้..(ที่ดิฉันเขียน) 4 มิถุนายน บอกไว้ว่า

4 มิถุนายน
เป็นคนมีมาตรฐาน แต่มาตรฐานก็ต้องเคลื่อนไหวได้ เปลี่ยนแปลงได้ และแก้ไขได้
แต่เปลี่ยนมาตรฐานให้ดีและง่ายขึ้น อย่าลดให้มาตรฐานของเป้าหมายต่ำลง

.....นั่นสินะคะ..คนเรามักมีมาตรฐานส่วนตัวอยู่แล้ว..ซึ่งมาจากทุกๆอย่างรอบๆตัวที่หลอมรวม..จนเป็นเรา
บางครั้งเราก็ตั้งมาตรฐานกับตัวเองสูงเกินไป..บางครั้งก็ต่ำไป..หรือบางครั้งแทบจะไม่มีมาตรฐานเอาเสียเลย...มันเป็นธรรมดาของการใช้ชีวิต..นะแต่ถ้าเราลอง ทำมาตรฐานส่วนตัวให้ยืดหยุ่น..และปรับได้..
....เชื่อว่า..เราคงอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ได้..อย่างมีความสุข ..

....คุณละคะ..มีมาตรฐานกับตัวเองยังไง..บอกเล่ากันบ้าง..หรืออยากรู้ว่าวันอื่นๆ เค้าเขียนว่าอะไร..
ลองขอเข้ามา..แล้วจะอ่านให้ฟังนะ..^^

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

04/06/54




ไม่ว่าจะอย่างไรชีวิตเราต้องเดินต่อไป....ขอบคุณภาพหอยทาก (ผู้เป็นเจ้าแห่ง slow life ) เครดิตเจ้าของภาพดังที่ปรากฎค่ะ^^

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มาเป็นมนุษย์ 3 s กันมั๊ย^^

สวัสดีค่ะ ..ไม่ได้เจอะเจอกันนานพอสมควร..พบกันคราวนี้มีเรื่องเล่า..สบายๆ เบาเบา มาฝากนะ
ท่ามกลางอากาศที่ผันแปรของบ้านเรา เดี๋ยวหนาว ร้อน ฝน แบบไม่ทันตั้งตัว บางคนก็เจ็บไข้ได้ป่วย
บางคนถึงกับเครียด..เพราะอะไรๆก็ไม่เป็นใจ.. คงต้องหันกลับมาดูชีวิตของเราอย่างจริงจัง แล้วหละค่ะ


ภาพที่เห็นข้างบนนี้..ได้มาจากกลุ่มคนที่เพิ่งได้เข้าทำงานใหม่..เป็นวัยสดใส..ร่าเริง ..ดิฉันเชื่อว่าพื้นฐาน
คนเราก็เป็นแบบนี้นะ..ไม่น่าจะมีใครเครียดมาแต่กำเนิด..สังคมและสิ่งแวดล้อม..ล้วนแต่งเติมทั้งสุข และ
ทุกข์ให้กับเรา..ดังนั้นการวางความรู้สึกของเราไว้ ณ จุดที่ เบา สบาย จะเป็นวิธีที่ทำให้คุณ โอเคกับชีวิต
มากขึ้น..การยึดถือสิ่งที่เป็นตัวตนบางอย่าง..อาจเป็นแค่ภาพลวงตาที่ทำให้คุณรู้สึกดี ซึ่งความเป็นจริง
คุณอาจเงียบเหงาและลึกๆ ก็ต้องการให้ใครสักคน เข้าใจ...คงไม่ยากที่จะเริ่มต้นด้วย หลักการง่ายๆแบบ
3 s ของ John C. Maxwell ประกอบด้วย

Simple :)  ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องง่ายๆ จริงอยู่คุณอาจจะรู้สึกขัดแย้งว่า..ไม่มีอะไรเป็นเรื่องง่ายๆหรอกนะ
ชีวิตเนี่ย..เพียงแต่..แค่มุมใหม่ชีวิตคุณอาจเปลี่ยนไปทั้งหมด ยกตัวอย่าง สมมุติว่า งานที่คุณได้รับมัน
มากจนแทบไม่มีเวลาพัก..คุณคงไม่ปล่อยให้มันบั่นทอนคุณจนเสียสติ หรอก..วิธีที่ง่ายคือลองจัดเวลา
ใหม่และลงลำดับความสำคัญให้ดี แค่นี้ก็สำเร็จจงจำไว้ว่า..ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องง่ายๆ อย่าเครียดไป
ก่อน..ทุกอย่างมีหนทางแก้ไขเสมอ

Slowly :) พูดช้าๆ เน้นการคิดก่อนพูดค่ะ ไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องสำคัญๆ ข้อนี้เชื่อว่าคนสมาธิดีๆ ทำได้ทุกคนนะ

Smile :) การยิ้มเป็นสิ่งที่คุณทำได้ตั้งแต่เกิด..แต่น่าแปลกที่ว่า..พอเราโตขึ้นมา..เรามักลืมสิ่งนี้ที่ทำได้ง่าย
มาก..อย่าลืมทบทวนตัวเองทุกวันว่า วันนี้ "คุณยิ้มแล้วหรือยัง" ถ้าอยากมีเสน่ห์ ก็ต้องหัดยิ้มไว้นะคะ
การยิ้มแบบจริงใจ เป็นหนทางสู่ความสำเร็จได้ ไม่ว่าคุณจะติดต่อประสานงานกับใคร..เป็นบันไดขั้นแรก
ของความสัมพันธ์ที่ดีเลยหละค่ะ!!!!

....และทั้งหมดนี้ก็คือ เทคนิก 3 S ที่ง่ายสุดๆ แล้วหละ...อย่าเสียเวลาลังเล..เพราะมันจะทำให้คุณ
เป็นคนแข็งกระด้าง..ชีวิตเราต้องมีมุมนี้เสมอค่ะ...รีแล๊กซ์ และ สโลว์ ไลฟ์ นะคะ..
รักพวกคุณเสมอค่ะ...จนกว่าจะเจอกันอีก..บายนะค๊า..^^

(ปล. ขอบคุณภาพประกอบจากFB คุณ นัยนา พลวาปี ค่ะ)

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ให้คำปรึกษา..ตัวเอง..

....ในความเป็นจริงคนเราพบเจอปัญหาทุกวัน..และบางครั้งเราก็ต้องการคำปรึกษา การได้พูดคุยแบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่นอาจเป็นช่องทางที่ช่วยให้เราหาทิศทางแก้ปัญหาได้ดีขึ้น..
...บทความบางตอนของหนังสือ Learn to relax ที่เขียนโดย Mike George บอกไว้ว่า ..คุณอย่าคาดหวังว่านักให้คำปรึกษา(มืออาชีพ)
จะให้คำตอบอย่างเบ็ดเสร็จกับคุณ..เพราะจริงๆแล้วคำตอบมันอยู่ที่ตัวคุณ..คำแนะนำต่างๆจึงเป็นแค่แนวทางที่ช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจตนเอง เพื่อนำทางไปสู่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด..
...ตามประเด็นที่พูดมา..ถูกต้อง..ตรงมากค่ะ..(ยืนยันจากนักให้คำปรึกษาตัวจริง : ดิฉันเอง)  โดยสรุปก็คือ ผู้ให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง ซึ่งว่ากันว่า..เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คุณเกิดความศรัทธาและยอมรรับตัวเอง มาดูวิธีการกันค่ะ
1. สิ่งที่ต้องคิดก่อน
    1.1 สาเหตุที่คุณไม่สบายใจคืออะไร
    1.2 คุณเครียดมั๊ย..มีอาการยังไง
    1.3 เมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์/สถานการณ์ใดที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เครียด
2. แยกแยะให้ออกว่าอะไรคือสาเหตุลึกๆของความไม่สบายใจ แล้วหาทางแก้โดยเร็ว อาจใช้วิธีจินตนาการว่าแต่ละปัญหาแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว เลือกปัญหาที่รู้สึกหนักใจที่สุดมาแก้ก่อน
3. ปรึกษากับตัวเองด้วยการหลับตาแล้วจินตนาการว่าจิตวิญญาณของคุณนั่งอยู่ตรงข้ามกับคุณ จิตวิญญาณจะถามอะไรคุณ และคุณลองหาคำตอบดู และคุณเชื่อคำแนะนำของจิตวิณญาณคุณหรือไม่ ถ้าเชื่อก็ลืมตาขึ้น..พิจารณาอีกครั้งว่านี่คือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณหรือไม่

......ลองดูนะคะ..ถ้าคุณไม่สบายใจ..สิ่งแรกที่ช่วยได้คือตัวคุณเอง..แต่ถ้าไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ..ยังไงซะผู้ให้คำปรึกษาก็ยินดีที่จะเป็นเพื่อนฟังเรื่องราวของคุณ..

สนุกกับชีวิต..อย่างมีสตินะคะ..บ๊ายบาย ^^

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ทำสมาธิกับดอกไม้..

..ธรรมชาติให้สิ่งที่สมดุลกับชีวิตเราค่ะ..ช่วงเวลาที่คุณรู้สึกไม่สบายใจ..เครียด..กังวล..การมองไปที่สิ่งที่เป็นธรรมชาติ..เช่นต้นไม้..ดอกไม้..ช่วยให้คุณสงบลงได้..

..การทำสมาธิด้วยการจดจ่ออยู่กับธรรมชาติ จะข่วยให้เราเรียนรู้สิ่งที่เป็นตัวตนภายใน หรือจิตวิญญาณของตัวเราเองได้ดีขึ้น...เพราะความแท้จริงของธรรมชาติจะเผยความดีงามของจิตใจคนได้

...เรามาลองทำสมาธิกับดอกไม้กันดีกว่า..เริ่มกันเลย

1. ใช้ภาพที่เลือกมานี้../ภาพดอกไม้ของคุณ..หรือของจริงได้ยิ่งดี ในการทำสมาธิค่ะ..ลองจินตนาการดูว่าถ้าดอกไม้ดอกนี้คือคุณมันจะเป็นอย่างไร..สวยกว่านี้ แย่กว่านี้..หรือควรปรับเปลี่ยน..ให้เป็นไปในแบบไหนเพื่อให้เข้ากับตัวคุณ

2. เมื่อคุณได้ภาพดอกไม้ในจินตนาการแล้ว..ให้จดจ่อที่ดอกไม้นี้อย่างเดียว อย่าให้กระแสความคิดอื่นใดเข้ามาในช่วงนี้

3. ให้จับกระแสความรู้สึกว่า..สิ่งที่รับรู้ขณะนี้เป็นอย่างไร สะท้อนตัวตนเราอย่างไร

4. หากดอกไม้ที่เราเลือกเป็นดอกไม้ที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก..มีบางกลีบที่เหี่ยวแห้ง ก็ให้พิจารณาว่าสิ่งนี้บอกอะไรคุณ..และถ้าคุณสามารถทำให้ดอกไม้นี้สมบูรณ์ได้..ควรจะเป็นอย่างไร (จินตนาการทางบวกนะคะ..ไม่ใช่ว่า..เห็นว่าไม่สวย..ก็เลยเด็ดทิ้ง..แบบนี้เป็นทางลบ..ไม่ดีค่ะ ^^)

5. สื่อสารกับสิ่งที่เป็นธรมชาติในลักษณะนี้ จนรู้สึกว่าความงดงามภายนอกเป็นกระจกสะท้อนความดีงามของตัวคุณโดยตรง..

 ในที่สุด..คุณก็สร้างสมาธิจากดอกไม้ หรือธรรมชาติอื่นๆได้..ดีใจด้วยนะคะ..

ลาไปก่อนค่ะ..จนกว่าจะพบกันอีก..   18/04/2011

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

Slow Aging : ชะลอวัยด้วยการเข้าใจความเครียด!

ความเครียดเป็นเรื่องธรรมชาติ

คนเราทุกคนต้องเผชิญกับความเครียด..มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป...เมื่อร่างกายส่งสัญญาณความเครียด..นั่นหมายถึงร่างกายต้องการการจัดการกับปัญหาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และสิ่งแรกที่คุณต้องทำในการเอาชนะความเครียดคือ การยอมรับว่าความเครียดเป็นผลจากวิถีการดำเนินชีวิตและความคิดของเราเอง มันไม่ได้เป็นตัวบอกว่าคุณล้มเหลว..หรือพังพินาศ เพียงแค่คุณไม่คาดหวังจนเกินพอดีคุณก็จะผ่านมันไปได้
รู้จักอาการของความเครียด
1. เหงา โดดเดี่ยว
2.ขาดความมั่นใจ
3.ไม่มีสมาธิ
4.ไม่รับโทรศัพท์
5.อ่อนล้าแต่นอนไม่หลับ
6.ร้องไห้และอารมณ์แปรปรวน
7.ความอดทนต่ำ
8.สมาธิสั้น
9.บ้างาน
10.ควบคุมตนเองไม่ได้
11.เบื่ออาหาร
12.กลัวความเงียบ
13.กังวลในรูปร่างหน้าตา

คุณมีอาการที่กล่าวมานี้หรือไม่..ถ้ามีควรรีบหาที่ปรึกษา เพื่อป้องกันความเครียดเรื้อรัง
เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ของคุณ..คุณจะมีเวลาเครียดเพียงเล็กน้อยและเปลี่ยนแปลงความเครียดนั้นเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า....นอกจากรู้ทันอารมณ์แล้วต้องรู้จักปลดปล่อยอารมณ์ไม่ดีๆทั้งหลายให้ออกไปจากตัวเราด้วย เช่นอารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า และอารมณ์ริษยา
อารมณ์โกรธ วิธีจัดการ หาวัตถุเป็นก้อนแข็งพอประมาณฝ่ามือ..ให้บีบและคลายเป็นระยะจนกว่าจะหายโกรธ..(ดิฉันใช้ลูกบอลคลายเครียดค่ะ..หาซื้อได้ทั่วไป สามารถบีบ-คลายได้และใช้ได้นาน)
อารมณ์เศร้า วิธีจัดการอารมณ์เศร้าคือ ออกไปเดินเล่นค่ะ..(คุณฟังไม่ผิดหรอก) ลองออกจากจุดนั้น..เดินชมบรรยากาศรอบๆตัว สูดลมหายใจลึกๆ จะช่วยให้ดีขึ้น
อารมณ์ริษยา วิธีจัดการ ก่อนอื่นเข้าใจก่อนค่ะว่าอารมณ์ริษยานั้นมาจากความกลัวเช่นกลัวการสูญเสีย
สัญชาติญาณจะเกิดการต่อสู้เพื่อมิให้สูญเสียสิ่งที่เราคาดหวัง วิธีที่จะแก้ไขคือเอามืออีกข้างหนึ่งลูบบนหลังมืออีกข้างหนึ่งเบาๆ คล้ายๆเป็นการปลอบขวัญ จะช่วยให้อารมณ์ ณ ขณะนั้นลดลงได้ค่ะ

หลังว่าคงใช้ประโยชน์ได้บ้างนะคะ สวัสดีค่ะ^^

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

ชีวิต..ติด..สโลว์


หลัก 8 ข้อ..ของ slow life ..จำเค้ามาเล่า..



1.Slow Pace หันมาให้ความสำคัญกับการเดินเท้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ แทนการใช้รถยนต์ เพราะนอกจากจะได้ยืดเส้นยืนสายออกกำลังกายไปในตัว แล้วยังได้ชื่นชมสภาพความเป็นอยู่ของเมืองยามที่เดินผ่าน แถมยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนได้ด้วย

2.Slow Wear หันหาเสื้อผ้าอาภรณ์ในแบบพื้นเมืองที่ผลิตจากวัตถุดิบหรือผ้าท้องถิ่น ถือเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมเครื่องแต่งกายไปในตัว

3.Slow Food รักษาวัฒนธรรมทางอาหาร รับประทานอาหารเมนูพื้นบ้านที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น เน้นสะอาด ปลอดสารพิษ เลี่ยงการรับประทานอาหารจานด่วนที่เชื่อว่าทำให้ชีวิตขาดสมดุล

4.Slow House ปลูกบ้านตามประเพณีและวัฒนธรรมให้เป็นไปตามรูปแบบ เช่น ชาวญี่ปุ่นจะใช้ไม้ ไม้ไผ่ กระดาษ มาเป็นวัสดุสำคัญในการสร้างและตกแต่งบ้าน สอดคล้องกับลักษณะสภาพภูมิประเทศ

5.Slow Industry ระบบอุตสาหกรรมต้องใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม กลมกลืนกับเกษตรกรรม ป่าไม้ เน้นใช้แรงคนมากกว่าแรงเครื่องจักร

6.Slow Education ไม่ใช้การท่องจำบทเรียนและสอบอย่างเคร่งเครียด การเรียนยังต้องเป็นไปอย่างเพลิดเพลิน ควบคู่ไปกับกีฬา และงานอดิเรก

7.Slow Aging ใส่ใจเติมสิ่งดี ๆ ให้กับร่างกายและจิตใจ เรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่มีสุขภาพกาย-ใจที่เข้มแข็ง เพื่อปรับใช้ช่วยชะลอความแก่ และมีอายุที่ยืนยาว

8.Slow Life ทำได้ทั้ง 7 ข้อข้างต้น ผลตอบแทนที่ได้..คือการมีความสุขในชีวิต..^^

สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว..สิ่งนั้นดีเสมอ..




ดวงอาทิตย์..ขึ้นจากขอบฟ้า และตกลงริมขอบฟ้า..ทุกวัน

เราไม่ควรติดยึด..หรือเหนี่ยวรั้งอะไรไว้


เพราะผลสรุปที่ได้


มันย่อมเป็นไปตามธรรมะ-ชาติ